วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

การเลือกซื้อกีตาร์และสายกีตาร์



การเลือกซื้อกีตาร์และสายกีตาร์ 
 มันมีความจำเป็นอย่างมากที่คุณควรจะมีกีตาร์เป็นของตัวเองถ้าคุณอยากจะเล่นกีตาร์เป็น ในบ้านเรามีกีตาร์ขายมากมายหลายแบบราคานั้นมีตั้งแต่ไม่ถึงพันบาท จนกระทั่งราคาเป็นแสนก็มี  ทีนี้เรามาดูซิว่าเราควรเลือกซื้อกีตาร์อย่างไร



         1. การเลือกซื้อกีตาร์ ดังที่ได้กล่าวมาแล้วกีตาร์ที่วางขายมีมากมายหลายแบบและระดับราคาต่างๆ กัน ผมอยากจะบอกว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในการซื้อกีตาร์คือซื้อตัวที่คุณชอบที่สุดทั้งในด้านของรูปร่างรูปทรง และเสียงของมันซึ่งถ้าคุณเลือกกีตาร์ที่คุณชอบจริงๆ มันจะทำให้คุณรักมันและมีความสุขที่จะหัดมากกว่าการที่ซื้อตามชาวบ้านเขาโดยไม่สนใจว่ามันจะเหมาะกับคุณหรือไม่ ส่วนหลักใหญ่ๆ ในการเลือกซื้อกีตาร์ก็ได้แก่


             1) เลือกดูรุ่นที่คุณสนใจที่สุดอาจจะเป็นกีตาร์คลาสสิกที่เป็นสายไนล่อนสำหรับผู้ที่อยากเล่นกีตาร์คลาสสิก (ซึ่งควรจะไปเรียนกับโรงเรียนจะดีกว่าฝึกเอง) หรือกีตาร์โฟล์คสำหรับเล่นเพลงทั่วไป ซึ่งยังมีขนาดและรูปทรงต่างๆให้เลือกจากนั้นจึงดูรายละเอียดโดยรวม ได้แก่ ลักษณะทั่วๆ ไปเช่นมีรอยบุบ สีถลอก หรือรอยแตกหักต่างๆ บนตัวกีตาร์หรือไม่ ความเรียบร้อยของการทำสี จุดต่อต่าง ๆ ต้องไม่มีรอยปริแตก ดูที่ลายไม้ยิ่งลายไม้ขนานกันมาก และมีลายถี่มากๆ จะมีความแข็งแรง ควรหลีกเลี่ยงประเภทที่มีตาไม้
               



2) ดูว่าคอกีตาร์ตรงหรือไม่อาจสังเกตง่ายๆ โดยกดสายกีตาร์ที่ช่อง 1 และอีกมือกดที่ช่อง 19 ของสายเดียวกันแล้วสังเกตว่าระยะห่างระหว่างสายกีตาร์กับเฟร็ตทุกเฟร็ตจะต้องเท่ากัน นอกจากนี้ก็ดูที่เฟร็ตว่าประกอบเรียบร้อยหรือไม่บิดเบี้ยวมั้ย บนฟิงเกอร์บอร์ดมีรอยแตกมั้ย และระยะจากนัทไปยังเฟร็ต 12 กับระยะจากเฟร็ต 12 ไปถึงสะพานสายจะต้องมีระยะเท่ากัน ถ้าดูภาดตัดขวางคอกีตาร์จะมีทั้งแบบราบเรียบและแบบที่โค้งเล็กน้อยให้รับกับนิ้วมือก็ลองดูว่าคุณชอบแบบไหน
               




3) ลองหมุนลูกบิดดูว่าลื่นมั้ยล็อคสายอยู่มั๊ยมีคราบสนิม หรือร่องรอยถลอกหรือเปล่า มีการคดงอมั้ย เช็คดูทั้ง 6 ตัว

               
4) ตรวจสอบที่นัทและบริดจ์ ว่าสมบูรณ์หรือไม่รอยต่อสนิทมั้ย และตัวพินยึดสายกีตาร์ต้องอยู่ในสภาพสมบูรณ์

                             

                                       nut                                                                bridge 




               5) คราวนี้ก็ลองกดสายกีตาร์ดูว่ากดยากมั้ยสูงต่ำไปมั้ย หมายถึงระยะแอ็คชั่นคือระยะระหว่างสายกับฟิงเกอร์บอร์ดควรสูงประมาณ 2 มม. ที่ช่องที่ 1 บนฟิงเกอร์บอร์ด
               

6) ลองดีดสายดูว่าเสียงเป็นที่น่าพอใจคุณมั้ย มีเสียงประหลาดแทรกระหว่างดีดมั้ย เช็คเสียงฮาโมนิคว่าสมบูรณ์มั้ยคือเสียงต้องปิ๊งและไม่มีเสียงประหลาดสอดแทรกมาโดยการดีดสายเปล่าแล้วใช้นิ้วมือแตะเบาๆ เหนือเฟร็ตที่ 12 ของสายเดียวกันแล้วดีดดูจะได้เสียงที่เป็นเสียงเดียวกันกับที่ดีดสายเปล่าแต่ระดับเสียงจะสูงกว่า ลองเช็คทุกๆ สาย
               





7) ถ้าเป็นกีตาร์โปร่งไฟฟ้า คุณจะต้องทดสอบระบบของมันด้วยว่าเวิคมั้ยลองเสียบแอมป์เล่นจริงๆ ลองปรับปุ่มคอนโทรลต่างๆ และสังเกตเสียงที่ได้เมื่อต่อเข้าแอมป์ว่าผิดเพี้ยนไปมั้ย
               








8) ถ้าเป็นกีตาร์ไฟฟ้าหลักโดยรวมก็เหมือนกับด้านบน แต่สิ่งที่ต้องเช็คอื่น ๆ ได้แก่ระบบคันโยกสมบูรณ์หรือไม่ลองใช้ดู จุดที่ขันน๊อต สกรูต้องแน่น ทดสอบต่อกับแอมป์และลองเล่นดูลองเปลี่ยนไปใช้ปิคอัฟแต่ละตัวว่าทำงานปกติมั้ย รวมถึงปุ่มคอนโทรลต่างๆ
          
          อย่างหนึ่งที่คุณควรจะรู้ไว้คือไม่มีกีตาร์ตัวไหนที่เพอร์เฟ็ค 100 %สามารถเล่นได้ทุกสไตล์ในโลก กีตาร์ตัวนี้อาจเหมาะกับเพลงนี้ แต่ไม่เหมาะกับอีกเพลงเป็นต้นเช่นเวลาคุณดูคอนเสิร์ทนักดนตรีบางคนหรือบางคณะใช้กีตาร์เปลืองมากเพลงนึงก็ตัวนึงเป็นต้นดังนั้นคุณควรจะรู้ว่าคุณอยากเล่นเพลงแบบไหน หรือชอบเสียงกีตาร์แบบไหนให้เลือกแบบที่คุณชอบก็พอ
        
           




2. การเลือกซื้อสายกีตาร์


สายกีตาร์ก็จะมีหลาย  แบบหลายขนาดเช่นกัน กีตาร์แต่ละประเภทก็จะใช้สายไม่เหมือนกันดังนั้นคุณควรจะใช้สายกีตาร์ให้เหมาะกับกีตาร์ของคุณดีกว่า


          

 สายกีตาร์คลาสสิกยุคก่อนจะใช้สายเอ็น (gut string) แต่ปัจจุบันได้ใช้เป็นสายไนล่อน โดยที่ 3 สายล่างจะเป็นสายเปลือย และ 3 สายบนจะเป็นพวกใยไหมหรือไนล่อนพันด้วยเส้นโลหะจำพวกเงิน หรือบรอนซ์ เป็นต้น ซึ่งทำมาสำหรับใช้กับกีตาร์คลาสสิกโดยเฉพาะ ถ้าคุณนำสายที่เป็นโลหะมาใช้นอกจากเสียงที่ได้จะไม่ดีแล้วกีตาร์คูณจะพังด้วยเพราะสายไนล่อนมีแรงดึงต่ำกว่าสายโลหะมากและกีตาร์คลาสสิกออกแบบมาให้รับแรงตึงของสายไนล่อน


            
          สายกีตาร์โฟล์คจะเป็นสายโลหะโดยที่ 2 หรือ 3 สายล่างจะเป็นสายเปลือย และสายที่เหลือหรือสายเบสจะเป็นสายที่แกนเป็นโลหะมีเส้นบรอนซ์พันอยู่มีอยูหลายขนาดเหลือเกินแต่ที่เหมาะสำหรับฝึกหัดใหม่ ๆ ควรเลือกชุดที่ไม่ใหญ่จนเกินไปเช่นชุดที่มีสาย 1 ขนาด .009 ซึ่ง 3 สายล่างจะเป็นสายเปลือย และ 3 สายบนจะเป็นสายพัน
         







   สายกีตาร์ไฟฟ้าเป็นโลหะเช่นเดียวกับสายกีตาร์โปร่งแต่จะใช้นิเกิลแทนบรอนซ์ซึ่งนิเกิลจะมีผลดีเมื่อใช้กับปิคอัฟหรือระบบแม่เหล็กไฟฟ้านั่นเอง แต่เสียงจะทึบกว่าสายที่ทำจากบรอนซ์ แต่จะนุ่มมือกว่าเวลาจับคอร์ด ซึ่งบางทีก็สามารถใช้สายกีตาร์ไฟฟ้ากับกีตาร์โปร่งได้เพื่อลดความเจ็บนิ้ว


วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

"Ukulele" เป็นภาษาฮาวายเอี้ยน ความหมายของคำว่า "ukulele" ถูกแยกเป็นสองคำคือ "uku" ซึ่งแปลว่า "ของขวัญหรือรางวัล"
ส่วนคำว่า "lele" แปลว่า "การได้มา" ดังนั้นเมื่อนำสองคำนี้มารวมกัน จึงแปลความหมายได้ว่า "ของขวัญที่ได้มา"

"Ukulele" อาจจะเป็นเครื่องดนตรีชิ้นใหม่สำหรับใครบางคน แต่สำหรับนักดนตรี หรือผู้คนบนเกาะฮาวาย(Hawaii) Ukulele เป็นเครื่องดนตรีที่เป็นเสมือนศิลปะ และวัฒนธรรมของชาวฮาวายเอี้ยน เครื่องดนตรีชิ้นนี้ถูกเล่นในงานรื่นเริงต่างๆ ในทุกๆ เทศกาล Ukulele กลายเป็นเครื่องดนตรีชิ้นเอกที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่งบนเกาะฮาวาย ดังนั้น ชาวฮาวายเอี้ยนกับอูกูลีเล จึงแยกจากกันไม่ออก!
Ukulele คืออะไร?
เครื่องดนตรีที่มีขนาดเล็กพกพาสะดวก สวยสะดุดตาเมื่อแรกเห็น และตัวจิ๋วเล็กนิดเดียว ในชื่อ "Ukulele" (ออกเสียงว่า อูกูลีเล)
บางท่านอาจจะสามารถเรียกอีกชื่อว่า อูกี (Uke) ก็คงไม่ผิด เครื่องดนตรีชิ้นนี้เกิดมาก่อนสงครามโลกสะอีก อายุอานามไม่แพ้อะคูสติกกีต้าร์ เพียงแต่ว่าเครื่องดนตรีทั้งสองมีการกำเนิด และมีการพัฒนาที่แตกต่างกัน

กีต้าร์โปร่งโด่งดังและพัฒนามาจากอเมริกา และ Ukulele เป็นเครื่องดนตรีพื้นบ้านมาจากเกาะฮาวาย เกิดมาก่อนยุคสงครามโลก
ต่อมาช่วงยุค 60's เจ้า Ukulele ขึ้นมาโด่งดังและรู้จักกันแพร่หลายมากขึ้น เพราะว่านักดนตรีโฟล์คซอง และแจ๊ส ได้นำมันไปเล่น
ตามสถานที่ต่างๆ ทำให้ผู้คนทั่วไปเริ่มคุ้นหน้าคุ้นตา และรู้จักกับเจ้า Ukulele มากขึ้น
"John Lennon / George Harrison / Elvis Presley"
ผู้คนต่างแดนเริ่มพบเห็น และรู้จักเจ้า Ukulele อย่างแพร่หลายมากขึ้น เช่นวง The Kingston Trio (American Folksong) เป็นวงโฟล์คซอง
ก่อนยุค Peter Paul & Mary, ซึ่งเป็นวงดนตรีโฟล์คซองที่มีชื่อเสียงมากในยุคนั้น ทั้ง David Guard และ Bob Shane เกิดและโตมาจากเกาะฮาวาย เล่น Ukulele มาตั้งแต่เด็ก หรือแม้กระทั้งสมาชิกวง "The Beatles" ยังเคยนำเจ้า Ukulele ไปใช้ ยังรวมทั้ง "Elvis Presley"
ในช่วงยุค 80's Ukulele เริ่มตกกระแส ความนิยม การนำมาใช้เล่น และการกล่าวถึงเริ่มจางลงจนแทบจะหายไป

ต่อมาในช่วงปี 1990 เกิดกระแสขึ้นอีกครั้ง เมื่อเกิดศิลปิน Israel Kamakawiwo'ole(IZ) นักดนตรีจากเกาะฮาวาย ด้วยเอกลักษณ์ตัวอ้วนใหญ่คล้ายกับยักษ์ แต่เลือกที่จะเล่น Ukulele ตัวจิ๋วเป็นเครื่องดนตรีคู่กาย, IZ จึงได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก กระแส IZ จึงเกิดมาพร้อมกับ Ukulele เพลงของ IZ ยังถูกไปใช้เป็นเพลงประกอบหนังอยู่เป็นระยะๆ

IZ ได้ร้องและเล่นบทเพลง "Over the Rainbow/What a Wonderful World" ซึ่งทำให้ผู้คนเริ่มหลงเสน่ห์ในเสียงของ ukulele เข้าอย่างจัง
"IZ Israel Kamakawiwo'ole / Jake Shimabukuro"
ปลายยุค 90's หลังจากที่ Ukulele เริ่มแพร่หลายในอเมริกา เจ้า Ukulele ยังไปมีชื่อเสียงในประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย เพราะเด็กหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นฮาวายฝีมือขั้นเทพนามว่า "Jake Shimabukuro" ได้นำ Ukulele มาเล่นเพลงได้อย่างน่าทึ่ง ด้วยลีลาอันสุดเร้าใจ ดุดัน รุนแรง
ทั้งวิธีการนำเอาเพลงที่เคยได้รับความนิยมในอดีต มา cover ด้วย Ukulele จึงทำให้ผู้ฟังสามารถเข้าถึงเสน่ห์ของ Ukulele ได้ง่ายขึ้น

Jake จึงถือเป็นผู้ที่มีบทบาทมากที่สุดคนหนึ่ง ที่ทำให้วัยหนุ่มสาวยุคใหม่ เริ่มหันมาสนใจที่จะฝึกหัด และหัดเล่น ukulele อย่างจริงๆ จังๆ
นอกจากนั้นแล้ว ศิลปินยุคใหม่เช่น "Jack Johnson" และ "Jason Mraz" ก็ยังเล่น ukulele กับเขาด้วย

ประเภทของ Ukulele มีขนาดใดบ้าง?
Ukulele มีสายเพื่อใช้บรรเลงเพลงแค่เพียง 4 สาย โดยใช้สายไนล่อน รูปทรงจะเล็กกว่าอะคูสติกกีต้าร์มาก ซึ่งจะมีขนาดอยู่ 4 ขนาด คือ

1) soprano (standard size) มีขนาดความยาว 21" นิ้ว
2) concert มีขนาดความยาว 23" นิ้ว
3) tenor มีขนาดความยาว 26" นิ้ว
4) baritone มีขนาดความยาว 30" นิ้ว

สอนกีต้าร์ เบส กลอง ราคาถูก

รับสอน กีต้าร์ เบส กลอง

99 music society --- Music Tutor

     เปิดรับสอนเล่นดนตรี กีต้าร์ เบส กลองชุด
-รับสมัครผู้สนใจเรียน ทุกเพศ ทุกวัย ขอเพียงมีใจรักอยากเล่น อยากมันส์ อยากโดน!

-สอนตั้งแต่ การเริ่มต้นเล่นดนตรีอย่างง่าย เล่นได้ภายในไม่กี่สัปดาห์ ความเข้าใจทฤษฎีดนตรีพื้นฐาน  การอ่านโน๊ตเพลงพื้นฐาน การแกะเพลง การแสดงสด การเลือกอุปกรณ์ เทคนิคการฝึกซ้อม หรือจนกระทั่งตามความต้องการของผู้เรียน !!!

-สอนสบายๆ เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน สามารถนำไปซ้อมต่อที่บ้านได้ง่ายๆ สอนเน้นผู้เรียนเป็นหลัก

-สอนโดย นักดนตรีอาชีพ ผู้มีประสบการณ์ ผ่านเวทีประกวด และเวทีการแสดงสดมากมาย..
-มีทั้งแบบสอนตัวต่อตัว(private course) และแบบเรียนร่วมกับผู้อื่่น
  สอนตามแบบฟอร์ม หรือตามความต้องการของผู้เรียน สามารถเลือกได้



 เครื่องดนตรีที่รับสอน

  กลองชุด -เป็นเรียนตัวต่อตัวทั้งหมด ได้สัมผัสกับอุปกรณ์ชั้นนำ
  เบสไฟฟ้า
  กีต้าร์โปร่ง
  กีต้าร์ไฟฟ้า
  กีต้าร์คลาสสิค

-ทุกคอร์ส เริ่มต้นที่ราคา600บาท/เดือน(โปรโมชั่นวันนี้ถึงสิงหาคม2554)
  เรียน 1-2 ชั่วโมง/สัปดาห์ วันเวลาสามารถเลือกได้
-สถานที่สอน เป็นหอพักแถว ม.นเรศวร(นอก) และห้องซ้อม อนุบาลการดนตรี จ.พิษณุโลก



สนใจติดต่อ  
e-mail : Heavy_diamon@gmail.com
 facebook : 99music society
Tel. : 082-4014898

รายละเอียดคลิ๊กรูปเลยจร้า

ผู้สอนกลอง และกีต้าร์ จากวงนี้

มือเบส
อีกหนึ่งมือกลอง

มีแบบตัวต่อตัว และแบบรวมหลายคน
จำนวนชั่วโมงเป็นจำนวนชั่วโมงเรียนต่อสัปดาห์นะครับ
1รอบบิล เรียน 4สัปดาห์ครับผม

วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

กีต้าร์ฝีมือคนไทย Thanakorn Guitars TK Elite22

Thanakorn Guitars TK Elite22




spec.
Model TK Elite22
Body 1 piece Mahogany
Neck Mahogany
Neck shape Cshape 21mm@ 1st Frets
Fingerboard Ebony
Frets Pyramid 22 frets
Scale 25.5 inc
Radius 16 inc
Inlay Dot Abalone
Luminol side dot
All Access Neck joint
Nut Tusq
Hardware color Chrome
Bridge Wilkinson VS-100N
Pickup HH Seymour Duncan (59B / Jazz Neck)
Tuner Gotoh SG 503 H.A.P.M.
Electronic 1vol / 1tone / 3 way selector 
String gauge .009-.042


พอดีเล่นเน็ตไปเห็นพอดีเลยเอามาอวดกัน สวยๆๆๆ ชอบๆๆๆ อยากได้ๆ


 http://www.facebook.com/tkguitars

วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

John Petrucci Mark V Settings and Tone Tips

John Petrucci Mark V  Settings and Tone Tips Part I
Part 1 details Mark V channels 1 and 2 settings with playing examples.

John Petrucci Mark V  Settings and Tone Tips Part II
Part 2 details Mark V channel 3 settings with playing examples.

John Petrucci discusses the philosophy behind his Mark V settings and 
demonstrates the tones used in Dream Theater. 
Recorded in Petaluma, CA at Mesa/Boogie - June, 2010.

วันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

Guitar Body Wood Types

Guitar Body Wood Types



There is a wide variety of woods that can be used to build acoustic or electric guitars. Because of the varied densities of the many different types of woods used, the sound produced will vary correspondingly. Ultimately, choosing the right wood for a guitar will fall completely upon the fundamental sound and music style desired to be achieved by the musician who plays it.


Mahogany

Compared to other popular choices of wooden guitars, mahogany is know to have a lowered velocity of sound and a significant density with low overtones. Mahogany guitars are capable of producing a strong solid tone and are a popular choice among country-blues musicians.

Maple

Maple guitars tend to produce sound at a lowered velocity as well. Sometimes the sound quality of a maple structured guitar can be considered almost flat. However, maple is a popular choice for more aggressive musicians because of its intensified presence when amplified. Maple is a popular choice for makers of electric guitars for rock or heavy metal music
.

Alder

In the physical sense, alder is good choice of guitar woods for comfort and portability for an active stage performer. It is a light wood that produces a vibrant sound and full, rich tones when played. Alder provides an even balance of high, low and midrange tones.

Koa

Koa wood is harvested exclusively in Hawaii, which makes koa wood guitars a bit more expensive and difficult to find than guitars made of most other woods. Koa wood is a very popular choice among bass guitar manufacturers because it produces a deep, warm tone. Koa is very similar to mahogany in guitar wood categories but stands apart because of its concentration on midrange tones.

credit: 
http://www.ehow.com/list_6368158_guitar-body-wood-types.html

วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

Sungha Jung



Sungha Jung (Born South Korea on September 2, 1996)
Hi, I'm Sungha Jung from South Korea.
My dream is to become a professional acoustic fingerstyle guitarist.

I had been watching my dad play the guitar for awhile before I finally jumped on it myself three years ago.

Currently, I am taking drum lessons and teaching myself fingerstyle guitar.
I used to not have tabs for the music that I played in my videos.
I just listen and pick them up directly from the sound source in videos available on the internet.
However, recently, I have started playing with original tabs whenever they are available to me by courtesy of the authors.
My old guitar is custom made by Selma to fit my body size, and on it, Thomas Leeb wrote "Keep on grooving to my friend."

As of Jan. 1st, 2009 Lakewood acts as sponsor for my guitar officially.
I'm very grateful to those prominent guitarists who have had a great influence on my guitar playing.
I'll continue to study them and learn more about interpretation of music and various playing techniques.
My daily practice routine lasts for one to two hours when school is open, but I play up to three hours a day during the school breaks.
It usually takes me two to three days to practice and videotape a new piece but sometimes up to a week for more difficult ones.

Last, but certainly not least, I can't thank Ulli Bogershausen enough for being my musical inspiration.


http://www.sunghajung.com/about 


วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

น่าคิดนะ...

นักการเมืองยื่นปลา พระราชายื่นเบ็ด
นักการเมืองแจกแท็บเบล็ต กษัตริย์แนะเคล็ดวิชา
นักการเมืองห่วงอำนาจ มหาราชห่วงประชา
นักการเมืองสร้างสัญญา องค์เจ้าฟ้าสร้างสรรธรรม
นักการเมืองหาเรื่องกิน องค์ภูมินทร์หาเรื่องทำ
นักการเมืองยุให้รำฯ ในหลวงย้ำให้ทำดี
นักการเมืองมักแบ่งขั้ว องค์เหนือหัวไม่แบ่งสี
นักการเมืองทำสี่ปี องค์ภูมีทำทุกวัน
นักการเมืองชอบแบ่งเสียง พ่อพอเพียงชอบแบ่งปัน
นักการเมืองคิดสั้นๆ องค์ราชันย์คิดยาวไกล

วันพุธที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

History of Gibson Guitars

History of Gibson Guitars

By Suzanne Z


It never ceases to amaze me that a company with a top name in guitar production, making world-class Gibson Acoustic Guitars, got its start in Kalamazoo, Michigan.
From Humble Beginnings
Kalamazoo, Michigan was a relatively small city in 1894, and Orville Gibson's relatively small musical shop did not draw an undue amount of attention. But Gibson had a burning vision; a vision of creating instruments that excelled even the highest expectations for stringed instruments. Thanks to his dedication and the shared vision of a number of superb craftsmen, Gibson's dream has excelled far beyond his wildest dreams.
One year after Gibson's death in 1919, the renowned classical mandolinist (also an acoustical engineer) by the name of Lloyd Loar was hired by the Gibson Company. He expanded on Orville's original mandolin designs to create the very first fretted instruments to ever have "f" holes. The Master Model F-5 mandolin and the L-5 guitar had tuned tops and backs, another first. The L-5 guitar was adopted by Eddie Lang, a classical guitarist who brought the L-5 into the classical music scene. But this auspicious start was only the beginning.
During the 1920's interesting innovations such as bridges with height adjustment, adjustable truss rods and elevated fingerboards became a part of the guitar industry and by 1924 Loar had produced a prototype electric bass guitar that was conceived about thirty years too soon. Gibson soared through the depression by entering the toy market and introducing a line of affordable Gibson Acoustic Guitars known as the "Kalamazoo" line.
But WWII saw Gibson bought by Chicago Musical Instruments (CMI) which in 1948 hired Ted McCarty, a wiz in the music industry, to be President of the Gibson Company. CMI's expectations were met as, in the sixteen years that McCarty was in charge, the company's sales increased by over 1,250%. And that was before electric guitars made it into the music scene. So good were things looking that in 1959 Gibson bought-out their long time competitor Epiphone and used it to sell a subsidiary line of lower-priced Gibson guitars.
With the 1960's came the era of rock and roll that gave the electric guitar its popularity. Not to be outdone, folk music, and an increased interest in jazz sent the demand for acoustic guitars in general, and Gibson Acoustic Guitars in particular, soaring. Gibson was - still - on a roll. But with the slow growth in the music industry, the Gibson owners decided to sell, and were bought in 1986 by a team of music devotees headed by Henry Juszkiewicz and David Berryman. And as they say, the rest is history.
Famous Models of Gibson Acoustic Guitars
While there are dozens of Gibson Acoustic Guitar models, three models are standouts.
The Gibson J-45
This jumbo dreadnought is considered to be Gibson's most played acoustic guitar. It is simple in shape in construction and has a warm tone and projects volume admirably.
The Gibson Hummingbird
The first Gibson dreadnought with square shoulders, the Hummingbird is rather ornate, giving it a good stage presence, and has hummingbird designs etched on the pick guard.
The Gibson SJ-200
Known affectionately as the Super Jumbo, the Gibson SJ-200 made its debut in 1937 and is conceivably the most famous acoustic guitar in the world - bar none. It has an incredibly full-bodied flavor that is still in high demand with musicians around the globe.
Why a Gibson Acoustic Guitar?
With their high quality and stellar reputation, Gibson guitars are a cut above the rest. When it comes to the demanding specification of acoustic musicians, Gibson Acoustic Guitars are definitely the guitar of choice for those who can afford them.
Find more information about Gibson Acoustic Guitars on my website. Suzanne Z is a guitar enthusiast who loves to write about acoustic guitars. Her website helps thousands of musicians each day find the best acoustic guitars, for all levels of guitarists including advanced and beginner. Also get free online lessons and 100+ free, printable chords.

Article Source: http://EzineArticles.com/?expert=Suzanne_Z


http://EzineArticles.com/?History-of-Gibson-Guitars&id=5890813




วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

TAKAMINE EF17C




อีกหนึ่งงานศิลปะชั้นยอดเยี่ยม ที่ TAKAMINE ภูมิใจเสนอ เมื่อความสวยงามแห่งธรรมชาติ
มาบรรจบกับงานฝีมือของมนุษย์ ด้วยไม้ตระกูลKoaทั้งตัว ในแบบ All solid กับหนึ่งตระกูล
TAKAMINE  J-series จากโรงงานซากาซิตะ ประเทศญี่ปุ่นรุ่นEF17C ที่มากับทรง Dreadnought Cutaway กลับกลิ่นอายแบบ Western จากการคัดสรรชิ้นไม้ เกรดA เพื่อความสมบูรณ์ของงานศิลป์ กับ Solid Hawaiian Koawood ด้านหน้า ด้านข้างและด้านหลัง ได้ผนวกเอาวัฒนธรรมของชาวเอเชียลงไปด้วย Abalone Inlay สีเขียวที่ประณีต และการประกอบจากช่างฝีมือชาวญี่ปุ่น บรรจงทุกขั้นตอนไม่ว่าจะเป็นขอบกีต้าร์ สะพานรองสายไปจนถึงตราสัญลักษณ์ของ TAKAMINE และลูกบิดสีทองที่ให้ความหรูหราสมกับเป็นรุ่น พิเศษ ในตระกูล J- series


ลองดูสเปกของTAKAMINE EF17C

MODELEF17C
Body ShapeDreadnought Cutaway
TopSolid Hawaiian Koawood
BackSolid Hawaiian Koawood
SidesSolid Hawaiian Koawood
BindingTurtoise celluloid
RosetAbalone Ring
NeckOne piece Mahogany Neck
FingerboardEbony
Fingerboard InlayShell
Number of Frets20
Scale Length644mm
Nut&SaddleBone Nut&Saddle
Nut Width45.0mm
TrussrodTwo Way
BridgeEbony
StringsEXP16
ColorNatural
FinishGlossy
ElectronicsTLD preamp


ข้อมูลจาก The Guitar MAG June 2011 vol.42 และ http://www.takamineguitars.jp/

ฟังเสียงกันเล่นๆ

วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

รับสอน กีต้าร์ เบส กลอง

99 music society --- Home Music Tutor

     เปิดรับสอนเล่นดนตรี กีต้าร์ เบส กลองชุด
-รับสมัครผู้สนใจเรียน ทุกเพศ ทุกวัย ขอเพียงมีใจรักอยากเล่น อยากมันส์ อยากโดน!

-สอนตั้งแต่ การเริ่มต้นเล่นดนตรีอย่างง่าย เล่นได้ภายในไม่กี่สัปดาห์ ความเข้าใจทฤษฎีดนตรีพื้นฐาน  การอ่านโน๊ตเพลงพื้นฐาน การแกะเพลง การแสดงสด การเลือกอุปกรณ์ เทคนิคการฝึกซ้อม หรือจนกระทั่งตามความต้องการของผู้เรียน !!!

-สอนสบายๆ เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน สามารถนำไปซ้อมต่อที่บ้านได้ง่ายๆ สอนเน้นผู้เรียนเป็นหลัก

-สอนโดย นักดนตรีอาชีพ ผู้มีประสบการณ์ ผ่านเวทีประกวด และเวทีการแสดงสดมากมาย..
-มีทั้งแบบสอนตัวต่อตัว(private course) และแบบเรียนร่วมกับผู้อื่่น
  สอนตามแบบฟอร์ม หรือตามความต้องการของผู้เรียน สามารถเลือกได้



 เครื่องดนตรีที่รับสอน

  กลองชุด -เป็นเรียนตัวต่อตัวทั้งหมด ได้สัมผัสกับอุปกรณ์ชั้นนำ
  เบสไฟฟ้า
  กีต้าร์โปร่ง
  กีต้าร์ไฟฟ้า
  กีต้าร์คลาสสิค

-ทุกคอร์ส เริ่มต้นที่ราคา600บาท/เดือน(โปรโมชั่นวันนี้ถึงสิงหาคม2554)
  เรียน 1-2 ชั่วโมง/สัปดาห์ วันเวลาสามารถเลือกได้
-สถานที่สอน เป็นหอพักแถว ม.นเรศวร(นอก) และห้องซ้อม อนุบาลการดนตรี จ.พิษณุโลก



สนใจติดต่อ  
e-mail : Heavy_diamon@gmail.com
 facebook : 99music society
Tel. : 082-4014898



ผู้สอนกลอง และกีต้าร์ จากวงนี้

มือเบส
อีกหนึ่งมือกลอง




วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ยืนยง โอภากุล



ยืนยง โอภากุล

แอ๊ด คาราบาว
แอ๊ด คาราบาว
ข้อมูลพื้นฐาน
ชื่อเกิด
ยืนยง โอภากุล
ชื่อเล่น
แอ๊ด
ฉายา
ราชาสามช่า
วันเกิด
แหล่งกำเนิด
อาชีพ
นักร้อง, นักดนตรี, นักแต่งเพลง
ปี
พ.ศ. 2524 - ปัจจุบัน
วอนเนอร์ มิวสิค ไทยแลนด์

ส่วนเกี่ยวข้อง
กีรติ พรหมสาขา ณ สกลนคร
เว็บไซต์http://www.carabao.net

ยืนยง โอภากุล หรือที่รู้จักกันในชื่อ แอ๊ด คาราบาว เป็นศิลปินเพลงเพื่อชีวิตชาวไทย เกิดเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายนพ.ศ. 2497 ที่ อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี ในครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีน เป็นบุตรชายคนสุดท้องของ มนัส โอภากุล แซ่โอ และ จงจิน แซ่ตั้ง (ปัจจุบัน บิดาและมารดาเสียชีวิตแล้ว)


ประวัติ


     ยืนยง โอภากุล สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมจากโรงเรียนกรรณสูตศึกษาลัย จังหวัดสุพรรณบุรี และเดินทางเข้าสู่กรุงเทพมหานครเพื่อศึกษาต่อเหมือนเด็กต่างจังหวัดทั่วไป โดยเข้าเรียนใน สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตอุเทนถวาย (โรงเรียนช่างก่อสร้างอุเทนถวาย) และต่อในระดับปริญญาตรี สาขาสถาปัตยกรรมศาสตร์ ที่สถาบันเทคโนโลยีมาปัว ประเทศฟิลิปปินส์ เป็นเวลา 1 ปี
     ที่ฟิลิปปินส์ยืนยงได้พบกับเพื่อนคนไทยที่ไปเรียนหนังสือที่นั้น คือ สานิตย์ ลิ่มศิลา หรือ ไข่ และ กีรติ พรหมสาขา ณ สกลนคร หรือ เขียว ซึ่งยืนยงได้มีโอกาสฟังเพลงของ เลด เซพเพลิน ,จอห์น เดนเวอร์ ,ดิ อีเกิ้ลส์ และปีเตอร์ แฟลมตัน จากแผ่นเสียงที่ ไข่ สานิตย์ ลิ่มศิลา สะสมไว้เป็นจำนวนมาก ต่อมา ทั้ง 3 จึงร่วมกันตั้งวงดนตรีขึ้นมา โดยใช้ชื่อว่า "คาราบาว" เพื่อใช้ในการแสดงบนเวทีในงานของมหาวิทยาลัย โดยเล่นดนตรีโฟล์คในเนื้อหาที่สะท้อนสภาพปัญหาและความเป็นจริงของสังคม
     เมื่อยืนยงสำเร็จการศึกษาและกลับมาเมืองไทย ได้ทำงานประจำเป็นสถาปนิกในสำนักงานเอกชนแห่งหนึ่ง และมีงานส่วนตัวคือรับออกแบบบ้านและโรงงาน ต่อมาเมื่อไข่และเขียวกลับมาจากฟิลิปปินส์ ทั้ง 3 ได้เล่นดนตรีร่วมกันอีกครั้งโดยเล่นในห้องอาหารที่โรงแรมวินเซอร์ สุขุมวิท 20 และต่อมาย้ายไปเล่นที่โรงแรมแมนดาลิน สามย่าน โดยขึ้นเล่นในวันศุกร์และเสาร์ แต่ทางวงถูกไล่ออกเพราะยืนยงขาดงานหลายวันโดยไม่บอกกล่าว
    เมื่อวงถูกไล่ออก ไข่ จึงได้แยกตัวออกไปทำงานรับเหมาก่อสร้างอยู่ทางภาคใต้ แอ๊ดและเขียวยังคงเล่นดนตรีต่อไป โดยเล่นร่วมกับวง โฮป ต่อมาปี พ.ศ. 2523 แอ๊ดได้ทำงานเป็นสถาปนิก ประจำสำนักงานบริหารโครงการ ของการเคหะแห่งชาติ ส่วนเขียวทำงานเป็นวิศวกร ประเมินราคาเครื่องจักรโรงงานอยู่กับบริษัทของฟิลิปปินส์ที่มาเปิดสาขาในประเทศไทย และทั้งคู่จะเล่นดนตรีในตอนกลางคืน โดยเล่นประจำที่ดิกเก็นผับ ในโรงแรมแอมบาสเดอร์ สุขุมวิท

มีชื่อเสียง

     จุดเปลี่ยนของชีวิตยืนยง โอภากุล อยู่ที่การรับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์อัลบั้มชุดแรกให้กับวงแฮมเมอร์ ในปี พ.ศ. 2522 ในชุด "บินหลา" โดยแอ๊ดยังเป็นผู้ออกแบบปกอัลบั้มด้วย ซึ่งอัลบั้มชุดนี้ทำให้แฮมเมอร์เป็นที่รู้จักในวงการเพลง และปี พ.ศ. 2523 แอ๊ดยังได้แต่งเพลง ถึกควายทุย ให้แฮมเมอร์บันทึกเสียงในอัลบั้ม "ปักษ์ใต้บ้านเรา" อัลบั้มดังกล่าวทำให้แฮมเมอร์โด่งดังอย่างมาก จึงเป็นแรงดลบันดาลใจให้กับยืนยงว่า ถ้าจะออกอัลบั้มของตัวเอง คงจะประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน จึงร่วมกับเขียว ออกอัลบั้มชุดแรกของวงคาราบาวในชื่อชุด "ขี้เมา" ในปี พ.ศ. 2524 สังกัดพีค๊อก สเตอริโอ ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จมากนัก ในระหว่างนั้นวงคาราบาวในยุคแรกก็ได้ออกทัวร์เล่นคอนเสิร์ตตามโรงภาพยนตร์ต่างๆทั่วประเทศ แต่ไม่ได้รับความสนใจเท่าไร บางครั้งมีคนดูไม่ถึง 10 คนก็มี
     แอ๊ด คาราบาว เข้าสู่ร่มกาสาวพัตร์ อุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดสุวรรณภูมิ ต.ท่าพี่เลี้ยง อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี พร้อมกับไพรัช เพิ่มฉลาด มือเบส ก่อนจะออกเทปชุด เมด อิน ไทยแลนด์ โดยไม่ได้อยู่กุฎิ เพราะกุฎิเต็ม จึงได้อยู่ในโบสถ์ ตลอดที่บวชพระ 7 วัน
     คาราบาว มาประสบความสำเร็จในอัลบั้มชุดที่ 5 ของวง คือ ชุด "เมด อิน ไทยแลนด์" ที่ออกในปลายปี พ.ศ. 2527 ซึ่งมียอดจำหน่ายสูงถึง 5 ล้านตลับ และนับตั้งแต่นั้น ชื่อของ แอ๊ด คาราบาว ก็เป็นที่รู้จักกันดีของคนไทย
     โดย ยืนยง โอภากุล หรือ แอ๊ด คาราบาว ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าวง เป็นผู้มีบุคคลิกเป็นตัวของตัวเองสูง กล้าพูดกล้าวิพากษ์วิจารณ์เรื่องราวต่าง ๆ ในสังคมอย่างแรงและตรงไปตรงมา โดยสะท้อนออกมาในผลงานเพลง ที่เจ้าตัวจะเป็นผู้เขียนและร้องเองเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมีออกมามากมายทั้งอัลบั้มในนามของวงและอัลบั้มเดี่ยวของตนเอง จนถึงวันนี้ไม่ต่ำกว่า 900 เพลง รวมถึงการแสดงออกในทางอื่น ๆ ด้วย ซึ่งก็มีทั้งผู้ที่ชอบและไม่ชอบ โดยผู้ที่ไม่ชอบคิดเห็นว่า เป็นการแสดงออกที่ก้าวร้าว รวมถึงตั้งข้อสังเกตด้วยถึงเรื่องการกระทำของตัวยืนยงเอง


บทบาททางสังคมและข้อวิจารณ์

     ยืนยง โอภากุล ไม่จำกัดตัวเองแต่ในบทบาทของศิลปินเพลงเท่านั้น แต่ยังเป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์และมีผลงานเขียนหนังสือและแสดงละคร ภาพยนตร์ต่าง ๆ ด้วย อาทิ เช่น เรื่องพรางชมพู กะเทยประจัญบาน (พ.ศ. 2545) ละครเรื่อง เขี้ยวเสือไฟ ทางช่อง 9 (พ.ศ. 2544) ลูกผู้ชายหัวใจเพชร ทางช่อง 7 (พ.ศ. 2546) เป็นต้น รวมถึงการทำงานภาคสังคมและมูลนิธิต่าง ๆ และยังได้แต่งเพลงประกอบโฆษณาหรือโครงการต่าง ๆ ของหน่วยงานภาครัฐในแต่ละโอกาสด้วย
     ในปลายปี พ.ศ. 2545 ยืนยง โอภากุล ได้เปลี่ยนบทบาทของตัวเองอย่างสำคัญอีกครั้งหนึ่ง โดยเป็นหุ้นส่วนสำคัญคนหนึ่งของเครื่องดื่มชูกำลัง ยี่ห้อ "คาราบาวแดง" โดยใช้ชื่อวงดนตรีของตัวเองมาเป็นจุดขาย ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างในสังคมว่า สมควรหรือไม่ กับผู้ที่เคยสู้เพื่ออุดมการณ์มาตลอด มาเป็นนายทุนเสียเอง ในปัจจุบันประชาชนหลายคนก็ยังเคลือบแคลงในจุดยืนของยืนยง
     ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2554 ระหว่างงานประกาศผลรางวัลสีสันอวอร์ด ครั้งที่ 23 ณ โรงแรมทาวน์อินทาวน์ คาราบาวได้รับเชิญร่วมแสดง ระหว่างการแสดงนั้น ยืนยงได้ทุ่มกีตาร์ลงพื้นแล้วเดินออกจากเวที โดยไม่บอกกล่าวใด ๆ ทั้งสิ้น สร้างความงุนงงอย่างมาก มีการตั้งข้อสังเกตไว้หลายทาง อาทิ ความไม่พอใจของยืนยงต่อระบบเครื่องเสียงภายในงาน เสียงตะโกนของผู้ชมให้รีบแสดงให้จบเพื่อให้งานดำเนินต่อ เสียงตะโกน "สัญญาหน้าหมา" ที่ล้อเพลง "สัญญาหน้าฝน" เป็นต้น แต่เจ้าตัวต่อมาได้ออกมาแถลงข่าวพร้อมขอโทษผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคน โดยอ้างสาเหตุว่าไม่พอใจทีมงานที่จัดระบบเสียงได้ไม่ถูกใจประกอบพักผ่อนน้อย        
     ตั้งแต่เสร็จจากงานคอนเสิร์ตเวโลโดรม รีเทิร์น ที่เพิ่งผ่านพ้นไปไม่นาน[1]

ชีวิตส่วนตัว

     ชีวิตส่วนตัว ยืนยง โอภากุล มีชื่อเป็นภาษาจีนกลางว่า "หูฉุนฉาง" แปลว่า "เกิดบนดิน" ชอบเลี้ยงไก่ชนซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงที่ชื่นชอบมาตั้งแต่เด็ก ๆ และมีฟาร์มไก่ชนเป็นของตัวเอง นอกจากคาราบาวแดงแล้ว ยังมีกิจการทางดนตรีอีก คือ มีห้องอัดเสียงที่บ้านของตัวเอง ชื่อ เซ็นเตอร์ สเตจ สตูดิโอ(มองโกล สตูดิโอ) ซึ่งเป็นสตูดิโอระดับชั้นแนวหน้าแห่งหนึ่งของเมืองไทย และมีบริษัทเพลงชื่อ มองโกล เรคคอร์ด สมรสกับนางลินจง โอภากุล หญิงชาวบุรีรัมย์ มีบุตรด้วยกัน 3 คน เป็นหญิง 2 คน คือ ณิชา (เซน) และ ณัชชา (ซิน) โอภากุล และชาย 1 คน คือ วรมันต์ โอภากุล (โซโล)
หมายเหตุ
  • ยืนยง โอภากุล มีพี่ชายฝาแฝดอีก 1 คน เป็นศิลปินเพลงเพื่อชีวิตเหมือนกัน คือ ยิ่งยง โอภากุล ชื่อเล่น "อี๊ด" และเคยออกอัลบั้มร่วมกัน 1 อัลบั้ม คือ อัลบั้ม พฤษภา ในปี พ.ศ. 2535 หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ
  • ซูซู เคยแต่งเพลงเพื่อยกย่องยืนยง ชื่อเพลง ราชาสามช่า ในปี พ.ศ. 2534

อัลบั้ม

แอ๊ด คาราบาว


ยืนยง โอภากุล


แอ๊ด โอภากุล


อื่นๆ


ศิลปินรับเชิญ


ผลงานละคร
  • เขี้ยวเสือไฟ
  • ส่วย
  • ลูกผู้ชายหัวใจเพชร
  • มหาราชกู้แผ่นดิน
  • เพื่อนรักเพื่อนร้าย


ผลงานภาพยนตร์


พิธีกร
  • สำรวจธรรมชาติ On The World (ช่อง 5)


ดูเพิ่ม


อ้างอิง


แหล่งข้อมูลอื่น