แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เลือก แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เลือก แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554

Stomp boxเสียงแตกกับปัญหาโลกแตก


Stomp boxเสียงแตกกับปัญหาโลกแตก เลือกตู้หรือไม่เลือกตู้ อะไรเหมาะกับอะไร
ถ้าพูดถึงเรื่องเสียงแตกก้อนๆ(Stomp box) คำที่เรามักใช้ติดปากเวลาเลือกซื้ออุปกรณ์เหล่านี้คือ"เสียงมันเลือกตู้มั้ยครับ"
   ว่าแต่อะไรคือเลือกตู้ไม่เลือกตู้ - เรามักจะพบว่าเสียงแตกเหล่านี้โดยเฉพาะเสียงDistortionจะมีปัญหากับตู้บางประเภท โดยเฉพาะตู้StackหรือHeadamp จริงๆแล้วมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นStackหรือปล่าว แต่ประเด็นคือเราต้องทำความเข้าใจกับAmpที่เราจะเอาStompเหล่านั้นไปใช้ซะก่อน


เลือกใช้Ampให้ถูกประเภท:
     นักดนตรีบ้านเรานั้นจำต้องทำงานกับBacklineหรือเครื่องเช่า,เครื่องประจำร้านที่ถูกเลือกใช้อย่างผิดๆมาเป็นเวลานานมากๆ สังเกตุได้ว่าเครื่องเช่าหรือเครื่องตามPubทั่วไป มั้กจะเลือกใช้แบบHeadampและมักจะเป็นMarshallซะด้วย ทำไมถึงต้องมีแต่Marshallนะหรือ
1.ยี่ห้อเก่าแก่
2.ราคาไม่สูงมาก
3.มีแต่คนรู้จัก
  จะเห็นว่า3ข้อข้างต้นไม่ได้พูดถึงองค์ประกอบหรือประสิทธิภาพและลักษณะการใช้งานของAmpตัวนั้นๆเลย หลายๆคนอาจจะตกใจถ้าผมจะบอกว่ามันเป็นการเลือกที่ "ผิดมากๆ"และโครตจะ"สิ้นเปลือง"มากๆ ทำไมน่ะหรือ

    Amp Marshall เป็นAmpที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นด้านเสียงแตก จุดขายของมันคือเสียงแตกจากตัวมันเอง แต่บ้านเราดันทะลึ่งใช้แต่เสียงคลีน(คงไม่เถียงว่านักดนตรีกว่า99%ที่ไปเจอแอม์แบบนี้แล้วไม่เคยคิดจะใช้เสียงแตกจากมันเลย เห็นพวกเปิดแต่คลีนทั้งนั้น เพราะFXเสียงแตกเอามาเอง) ดังนั้นเมื่อจุดเด่นมันคือเสียงแตก ก็หมายถึงว่ามันไม่ได้ดีไซน์มาเพื่อให้เราใช้กับเสียงแตกภายนอกเลย มันต้องการให้ใช้เสียงแตกของมัน "จุดเด่นเราคือเสียงแตกทำไมดันใช้แต่คลีนเล่าพี่น้อง!!!!" จุดเด่นมีแต่เราดันไปใช้จุดด้อย มันคงจะดีหรอกนะน่ะ

    ดังนั้นAmpที่เหมาะสมกับการใช้งานแบบนี้คือClean ampหรือAmpที่ดีไซน์มาเพื่อใช้เสียงคลีนเป็นหลัก เป็นมิตรกับFXที่จะเอาพ่วง เช่นFender,Dr Z เป็นต้น แต่ทำไมบ้านเราไม่ค่อยใช้น่ะหรือ เพราะบ้าWattไง ไปเชื่อพวกเครื่องเช่าว่า สถานที่ใหญ่ๆต้องWattเยอะๆ ถามว่าคุณมึงจะเอาWattเยอะให้มันดังโลกแตกกันไปถึงไหน Monitorมีไม่คิดจะฟังกันหน่อยหรือ แล้วจะจัดMonitorมาทำซากอะไร เอาไว้วางเท้าเท่ๆ? และก็Amp comboพวกนี้ไม่ใช่ว่าWattจะน้อยซักหน่อย เช่นFender twin reverb2x12 combo นั้นกำลังขับที่100watt และดังโครตพ่อชนิดที่ว่า Headamp+4x12ยังสู้ไม่ไหว ดังนั้นแล้วมันดังไม่พอตรงไหนหรือ แถมราคาถูกว่าHeadamp+cab 4x12 ตั้งเยอะ ทั้งนั้นเราจะเอางบไปลงAmpที่ซื้อมาแล้วใช้มันแค่1ใน 3 ไปเพื่ออะไรกันล่ะ

    สรุป 
       สำหรับผู้ใช้งาน - ก่อนเล่นก็ทำความรู้จักกับAmpที่จะใช้ซักหน่อยว่ามันดีไซน์มาใช้งานแบบไหน สังเกตุง่ายๆว่าแอมป์ที่ไม่ได้เน้นเสียงคลีนมันจะมีChเยอะ ปุ่มๆเยอะๆ แม้บางตัวก็ทำเสียงคลีนมาได้น่าประทับใจ แต่เชื่อเหอะ ไอ้เครื่องเช่ามันมักจะไม่รู้จักหรอก เพราะรู้จักแต่มาแชนนนนน  ก็เตรียมรับมือกันไว้จะได้เตรียมอุปกรณ์ไปถูกงาน
       สำหรับเจ้าของร้าน,Pub,เครื่องเช่า -หยุดเสียที่เถิดกับประเพณีนิยมบ้าStack จะขนมาวางทำไมให้มันล้นเวที ในเมื่อการใช้งานมันไม่ได้เหมาะสมเลยแม้แต่น้อย เครื่องที่ยืดหยุ่นการใช้งานที่สุดคือเครื่องที่ มีปัจจัยที่จำเป็นเท่านั้นไม่ต้องเผื่ออะไรที่ไม่มีมนุษย์คนไหนมันใช้หรอก เอางบไปซื้อMonitorเพิ่มหรือจ้างซาวด์เอนจิเนียรดีๆมาทำงานดีกว่า

ปล Amp Marshallบางรุ่นที่มีChเสียงคลีนที่น่าประทับใจไม่น้อยก็มีแต่หายากที่จะเจอ เพราะส่วนใหญ่จะเจอแต่Jcm800,900 แถมาสภาพไม่รู้ซ่อมมาจนยับเยินเท่าไรแล้ว ดีขึ้นมาหน่อยก็ตระกูลJcm2000 เสียงคลีนดีขึ้นมาหน่อย เป็นมิตรกับเสียงแตกก้อนๆขึ้นมาหน่อย แต่ก็ยังห่างไกลกับพวกคลีนแอมป์แท้ๆอยู่ดี




โดย Vinai trinateepakdee

วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

การเลือกซื้อกีตาร์และสายกีตาร์



การเลือกซื้อกีตาร์และสายกีตาร์ 
 มันมีความจำเป็นอย่างมากที่คุณควรจะมีกีตาร์เป็นของตัวเองถ้าคุณอยากจะเล่นกีตาร์เป็น ในบ้านเรามีกีตาร์ขายมากมายหลายแบบราคานั้นมีตั้งแต่ไม่ถึงพันบาท จนกระทั่งราคาเป็นแสนก็มี  ทีนี้เรามาดูซิว่าเราควรเลือกซื้อกีตาร์อย่างไร



         1. การเลือกซื้อกีตาร์ ดังที่ได้กล่าวมาแล้วกีตาร์ที่วางขายมีมากมายหลายแบบและระดับราคาต่างๆ กัน ผมอยากจะบอกว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในการซื้อกีตาร์คือซื้อตัวที่คุณชอบที่สุดทั้งในด้านของรูปร่างรูปทรง และเสียงของมันซึ่งถ้าคุณเลือกกีตาร์ที่คุณชอบจริงๆ มันจะทำให้คุณรักมันและมีความสุขที่จะหัดมากกว่าการที่ซื้อตามชาวบ้านเขาโดยไม่สนใจว่ามันจะเหมาะกับคุณหรือไม่ ส่วนหลักใหญ่ๆ ในการเลือกซื้อกีตาร์ก็ได้แก่


             1) เลือกดูรุ่นที่คุณสนใจที่สุดอาจจะเป็นกีตาร์คลาสสิกที่เป็นสายไนล่อนสำหรับผู้ที่อยากเล่นกีตาร์คลาสสิก (ซึ่งควรจะไปเรียนกับโรงเรียนจะดีกว่าฝึกเอง) หรือกีตาร์โฟล์คสำหรับเล่นเพลงทั่วไป ซึ่งยังมีขนาดและรูปทรงต่างๆให้เลือกจากนั้นจึงดูรายละเอียดโดยรวม ได้แก่ ลักษณะทั่วๆ ไปเช่นมีรอยบุบ สีถลอก หรือรอยแตกหักต่างๆ บนตัวกีตาร์หรือไม่ ความเรียบร้อยของการทำสี จุดต่อต่าง ๆ ต้องไม่มีรอยปริแตก ดูที่ลายไม้ยิ่งลายไม้ขนานกันมาก และมีลายถี่มากๆ จะมีความแข็งแรง ควรหลีกเลี่ยงประเภทที่มีตาไม้
               



2) ดูว่าคอกีตาร์ตรงหรือไม่อาจสังเกตง่ายๆ โดยกดสายกีตาร์ที่ช่อง 1 และอีกมือกดที่ช่อง 19 ของสายเดียวกันแล้วสังเกตว่าระยะห่างระหว่างสายกีตาร์กับเฟร็ตทุกเฟร็ตจะต้องเท่ากัน นอกจากนี้ก็ดูที่เฟร็ตว่าประกอบเรียบร้อยหรือไม่บิดเบี้ยวมั้ย บนฟิงเกอร์บอร์ดมีรอยแตกมั้ย และระยะจากนัทไปยังเฟร็ต 12 กับระยะจากเฟร็ต 12 ไปถึงสะพานสายจะต้องมีระยะเท่ากัน ถ้าดูภาดตัดขวางคอกีตาร์จะมีทั้งแบบราบเรียบและแบบที่โค้งเล็กน้อยให้รับกับนิ้วมือก็ลองดูว่าคุณชอบแบบไหน
               




3) ลองหมุนลูกบิดดูว่าลื่นมั้ยล็อคสายอยู่มั๊ยมีคราบสนิม หรือร่องรอยถลอกหรือเปล่า มีการคดงอมั้ย เช็คดูทั้ง 6 ตัว

               
4) ตรวจสอบที่นัทและบริดจ์ ว่าสมบูรณ์หรือไม่รอยต่อสนิทมั้ย และตัวพินยึดสายกีตาร์ต้องอยู่ในสภาพสมบูรณ์

                             

                                       nut                                                                bridge 




               5) คราวนี้ก็ลองกดสายกีตาร์ดูว่ากดยากมั้ยสูงต่ำไปมั้ย หมายถึงระยะแอ็คชั่นคือระยะระหว่างสายกับฟิงเกอร์บอร์ดควรสูงประมาณ 2 มม. ที่ช่องที่ 1 บนฟิงเกอร์บอร์ด
               

6) ลองดีดสายดูว่าเสียงเป็นที่น่าพอใจคุณมั้ย มีเสียงประหลาดแทรกระหว่างดีดมั้ย เช็คเสียงฮาโมนิคว่าสมบูรณ์มั้ยคือเสียงต้องปิ๊งและไม่มีเสียงประหลาดสอดแทรกมาโดยการดีดสายเปล่าแล้วใช้นิ้วมือแตะเบาๆ เหนือเฟร็ตที่ 12 ของสายเดียวกันแล้วดีดดูจะได้เสียงที่เป็นเสียงเดียวกันกับที่ดีดสายเปล่าแต่ระดับเสียงจะสูงกว่า ลองเช็คทุกๆ สาย
               





7) ถ้าเป็นกีตาร์โปร่งไฟฟ้า คุณจะต้องทดสอบระบบของมันด้วยว่าเวิคมั้ยลองเสียบแอมป์เล่นจริงๆ ลองปรับปุ่มคอนโทรลต่างๆ และสังเกตเสียงที่ได้เมื่อต่อเข้าแอมป์ว่าผิดเพี้ยนไปมั้ย
               








8) ถ้าเป็นกีตาร์ไฟฟ้าหลักโดยรวมก็เหมือนกับด้านบน แต่สิ่งที่ต้องเช็คอื่น ๆ ได้แก่ระบบคันโยกสมบูรณ์หรือไม่ลองใช้ดู จุดที่ขันน๊อต สกรูต้องแน่น ทดสอบต่อกับแอมป์และลองเล่นดูลองเปลี่ยนไปใช้ปิคอัฟแต่ละตัวว่าทำงานปกติมั้ย รวมถึงปุ่มคอนโทรลต่างๆ
          
          อย่างหนึ่งที่คุณควรจะรู้ไว้คือไม่มีกีตาร์ตัวไหนที่เพอร์เฟ็ค 100 %สามารถเล่นได้ทุกสไตล์ในโลก กีตาร์ตัวนี้อาจเหมาะกับเพลงนี้ แต่ไม่เหมาะกับอีกเพลงเป็นต้นเช่นเวลาคุณดูคอนเสิร์ทนักดนตรีบางคนหรือบางคณะใช้กีตาร์เปลืองมากเพลงนึงก็ตัวนึงเป็นต้นดังนั้นคุณควรจะรู้ว่าคุณอยากเล่นเพลงแบบไหน หรือชอบเสียงกีตาร์แบบไหนให้เลือกแบบที่คุณชอบก็พอ
        
           




2. การเลือกซื้อสายกีตาร์


สายกีตาร์ก็จะมีหลาย  แบบหลายขนาดเช่นกัน กีตาร์แต่ละประเภทก็จะใช้สายไม่เหมือนกันดังนั้นคุณควรจะใช้สายกีตาร์ให้เหมาะกับกีตาร์ของคุณดีกว่า


          

 สายกีตาร์คลาสสิกยุคก่อนจะใช้สายเอ็น (gut string) แต่ปัจจุบันได้ใช้เป็นสายไนล่อน โดยที่ 3 สายล่างจะเป็นสายเปลือย และ 3 สายบนจะเป็นพวกใยไหมหรือไนล่อนพันด้วยเส้นโลหะจำพวกเงิน หรือบรอนซ์ เป็นต้น ซึ่งทำมาสำหรับใช้กับกีตาร์คลาสสิกโดยเฉพาะ ถ้าคุณนำสายที่เป็นโลหะมาใช้นอกจากเสียงที่ได้จะไม่ดีแล้วกีตาร์คูณจะพังด้วยเพราะสายไนล่อนมีแรงดึงต่ำกว่าสายโลหะมากและกีตาร์คลาสสิกออกแบบมาให้รับแรงตึงของสายไนล่อน


            
          สายกีตาร์โฟล์คจะเป็นสายโลหะโดยที่ 2 หรือ 3 สายล่างจะเป็นสายเปลือย และสายที่เหลือหรือสายเบสจะเป็นสายที่แกนเป็นโลหะมีเส้นบรอนซ์พันอยู่มีอยูหลายขนาดเหลือเกินแต่ที่เหมาะสำหรับฝึกหัดใหม่ ๆ ควรเลือกชุดที่ไม่ใหญ่จนเกินไปเช่นชุดที่มีสาย 1 ขนาด .009 ซึ่ง 3 สายล่างจะเป็นสายเปลือย และ 3 สายบนจะเป็นสายพัน
         







   สายกีตาร์ไฟฟ้าเป็นโลหะเช่นเดียวกับสายกีตาร์โปร่งแต่จะใช้นิเกิลแทนบรอนซ์ซึ่งนิเกิลจะมีผลดีเมื่อใช้กับปิคอัฟหรือระบบแม่เหล็กไฟฟ้านั่นเอง แต่เสียงจะทึบกว่าสายที่ทำจากบรอนซ์ แต่จะนุ่มมือกว่าเวลาจับคอร์ด ซึ่งบางทีก็สามารถใช้สายกีตาร์ไฟฟ้ากับกีตาร์โปร่งได้เพื่อลดความเจ็บนิ้ว